หลายคนอาจไม่รู้ว่าปัจจุบันสถิติการป่วยโรคเบาหวานของคนไทยอยู่ที่ 5.2 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 3 แสนคน ซึ่งสาเหตุหลักมักมาจากการทานของหวานไม่ว่าจะเป็นอาหารมื้อหลัก ขนมหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลมต่าง ๆ ซึ่งข้อเสียนอกจากความอ้วนและโรคเบาหวาน โอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นก็มีอีกเยอะมาก เช่น ภาวะน้ำตาลไม่คงที่ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง หลอดเลือดแสงส่วนปลายตีบตัน เป็นต้น การเริ่มต้น “ลดหวาน” จะช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ได้
แจก 5 วิธี “ลดหวาน” ทำได้แบบไม่รู้สึกขัดใจ
คงเคยได้ยินคำว่า “ลดหวานลดโรค” จากการรณรงค์ของหน่วยงานในไทยกันพอสมควร จึงอยากแนะนำวิธีเลิกกินของหวานที่ทุกคนสามารถนำไปทำตามได้จริง เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเอง
1. เลือกกินอาหารมากขึ้น
ต้องหักห้ามใจตนเองด้วยการเลือกทานอาหารมากขึ้น เช่น เปลี่ยนจากขนมหวาน เครื่องดื่มหวาน ๆ มาเป็นผลไม้หรือน้ำผลไม้น้ำตาลน้อย ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม ยังได้ลิ้มรสความหวานอยู่แต่ก็เป็นน้ำตาลจากธรรมชาติที่ดีต่อร่างกายมากกว่า แถมยังได้สารอาหารอื่นเพิ่มเติมด้วย
2. หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยน้ำตาล
นิสัยคนไทยเวลากินอาหารโดยเฉพาะของน้ำ ๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยว มักต้องปรุงและเคยชินกับการใส่น้ำตาล หากอยากลดหวานก็ต้องเริ่มจากการหยุดปรุงด้วยน้ำตาล พยายามกินหวานจากรสชาติของอาหารที่ได้มาก็เพียงพอแล้ว หรือถ้าหยุดไม่ได้ก็ให้เติมน้อยลงแล้วค่อย ๆ ลดปริมาณทีละนิด
3. หยุดพฤติกรรมกินขนมหวานหลังอาหารหลัก
หลายคนคงรู้สึกเหมือนกันคล้ายความคุ้นชินว่าหลังกินอาหารจานหลักแล้วต้องต่อด้วยขนมหวาน ซึ่งจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลย หากอิ่มข้าวแล้วอยากกินอะไรหวาน ๆ ก็แนะนำเป็นผลไม้หรือน้ำผลไม้ไม่เติมน้ำตาลก็แก้อยากได้เหมือนกัน
4. ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น
หลายคนดื่มน้ำอัดลม น้ำหวานจนเป็นความเคยชิน น้ำหนักขึ้น เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน แนะนำให้ลองเปลี่ยนมาดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว หรือ 2 ลิตร จะช่วยลดอาการขาดน้ำ ลดความรู้สึกอยากดื่มน้ำหวาน เมื่อไหร่ที่หิวน้ำยกน้ำเปล่าดื่มเลย
5. ปรับทัศนคติของตัวเอง
ท้ายที่สุดของการลดหวาน ผลลัพธ์จะไม่เกิดหากคุณขาดทัศนคติที่ดี โปรดท่องเอาไว้ว่าความหวานกินได้แต่ต้องกินในปริมาณเหมาะสม อย่าเยอะเกินไป สิ่งไหนหลีกเลี่ยงได้ก็ควรทำ ปรับพฤติกรรมบางเรื่อง เพื่อเป้าหมายการมีสุขภาพที่แข็งแรง
อย่างไรก็ตามหากคุณลดหวานแล้วรู้สึกมึนศีรษะ เวียนหัวคล้ายจะเป็นลม หน้ามืด แนะนำให้รีบพบแพทย์ด่วน เพราะนั่นอาจแสดงถึงภาวะน้ำตาลต่ำเกินไป ควรให้คุณหมอประเมินอาการและหาสาเหตุอย่างแน่ชัดพร้อมรักษาอย่างถูกวิธี
